“ชายน้อย”ลุ้นโครงการกลุ่มปตท.หลุดโผมาบตาพุด หลังนายกฯเตรียมสรุป 18 กิจการที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรงภายในวันที่ 23 ส.ค.นี้ แย้มรายงานเอชไอเอใกล้เสร็จครบทุกโครงการแล้ว เตรียมเสนอคณะ กรรมการผู้ชำนาญการตรวจสอบเร็วๆ นี้
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR เปิดเผยว่า จากกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คาดจะสามารถสรุปประเภทกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงได้ภายในวันที่ 23 ส.ค.นี้ เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหามาบตาพุดนั้น ตนยังไม่สามารถเดาได้ว่าข้อสรุปจะออกมาในรูปแบบใด
ทั้งนี้ หากสามารถได้ข้อสรุปประเภทกิจการฯ ออกมาภายในระยะเวลาดังกล่าวจริง ก็จะส่งผลดีต่อโครงการในมาบตาพุด เนื่องจากมีความชัดเจนในการดำเนินการมากขึ้น ปัจจุบันในส่วนของกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT อยู่ระหว่างการทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) ใกล้จะเสร็จครบทุกโครงการแล้ว จากนั้นจะเสนอต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ภายใต้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางภาครัฐยังไม่มีการเรียกข้อมูลจาก ปตท. เพิ่มเติม แต่กลุ่มฯก็ยังดำเนินการตามเงื่อนไขของมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งนี้คาดว่าภาครัฐน่าจะมีทางออกที่ชัดเจนออกมาได้
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด ระบุว่า จากการที่รัฐบาลแก้ไขปัญหามาบตาพุดล่าช้า ส่งผลให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ของ ปตท. จะเลื่อนการเปิดผลิตไปในต้นปี 54 (หรืออย่างช้าในไตรมาส 1/54) อย่างไรก็ตามหลังจากกระทรวงทรัพยากรฯได้ประกาศรายชื่อ 18 โครงการที่มีผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนแล้ว โดยโรงแยกก๊าซที่ 6 คาดว่าจะไม่ได้จัดอยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าว และบริษัทจะยื่นขอยกเลิกคำสั่งระงับชั่วคราวของศาลปกครองกลางต่อไป
ขณะเดียวกัน PTT จะจัดทำรายงานเอชไอเอเสนอต่อองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมฯ เพื่อให้ความเห็นชอบ โดยการดำเนินการทั้ง 2 กรณีคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 53
สำหรับแนวโน้มกำไรช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะอ่อนตัวลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากปริมาณขายก๊าซลดลง จากความต้องการใช้ก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าน้อย เพราะเป็นช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ที่สภาพอากาศไม่ร้อนจัดเหมือนในช่วงครึ่งแรกปีนี้ และปริมาณขายของโรงแยกก๊าซลดลง เพราะการหยุดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซที่ 5 และราคาขายลดลงตามราคาปิโตรเคมีที่ลดลง แต่กำไรช่วงครึ่งหลังปีนี้อาจดีกว่าคาด หากราคาน้ำมันดิบโลกยังอยู่สูงเช่นในปัจจุบัน จะช่วยผลักดันให้ราคาสเปรดของปิโตรเคมีและราคาขายของโรงแยกก๊าซเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงประมาณ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มองว่าจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยหนุนราคาหุ้น PTT ไว้
อย่างไรก็ตาม คาดว่า PTT จะสามารถจ่ายปันผลปีนี้ที่ 9 บาทต่อหุ้น โดยอาจจ่ายงวดครึ่งแรกปีนี้ที่ 4.50 บาทต่อหุ้น หรือให้ Div.Yield ที่ 1.7% ดังนั้นยังคงแนะนำ “ซื้อลงทุน” โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้นช่วงครึ่งหลังปีนี้
โดยก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายในวันที่ 23 ส.ค.นี้ จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับร่างประกาศกิจการรุนแรง 18 โครงการ โดยยืนยันว่าไม่ได้ซื้อเวลา หรือไม่กล้าตัดสินใจ แต่เป็นเพราะแต่ละกิจการมีรายละเอียดทางเทคนิคที่ต้องมีความชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงเรื่องที่มีความสำคัญ คือมาตรการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยกระทรวงสาธารณสุขจะจัดตั้งศูนย์เวชศาสตร์และศูนย์อาชีวสิ่งแวดล้อม ดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงทำระบบการติดตามข่าวสารที่ต้องประกาศให้ประชาชนรับทราบตลอดเวลา เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ได้ ส่วนปัญหาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ปัญหาแนวกันชนผังเมืองระหว่างบริเวณกิจการและชุมชนที่ยังไม่มีความชัดเจน
ความหน้ามืดตามัว ของนักเล่นหุ้น
PTT ทั้งกลุ่ม !
PTT กำไรโค้ง 2 ขาลง
จับตาฟื้นครึ่งปีหลัง
จับตา PTT ประกาศงบโค้ง 2 ปีนี้ไม่ประทับใจ เซียนหุ้นประสานมือฟันธงเป็นขาลงแน่ หลังธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีย่ำแย่ ชี้แม้ผลกำไรจากธุรกิจก๊าซจะเติบโตแต่พยุงไว้ไม่อยู่ ประเมินกำไรหด 25 -27% จากไตรมาสแรกปีนี้ แต่หวังผลงาน Q3/53 ฟื้น จากยอดขายก๊าซฯ และราคาน้ำมันขยับ แผ่อานิสงส์กลุ่มโรงกลั่นผงาดตาม
ค่ายกิมเอ็งฯ หั่นราคาเป้าหมายจาก 319 บาท เหลือ 300 บาท ขณะที่ค่ายกรุงศรีอยุธยา ชี้ผลงาน Q2/53 ต่ำสุด ปรับเป้ากำไรปี 53 ลง 12% สวนทางค่ายซีมิโก้ มองยังมีดี P/E ถูกเทียบคู่แข่งในภูมิภาค เชียร์ซื้อ เชื่อแจกปันผลระหว่างกาล 5 บ./หุ้น พร้อมยังแนะติดตามประเด็นมาบตาพุด หวังเดินหน้าโรงแยกก๊าซ 6 ได้เร็ว
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เป็นบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ในประเทศ ซึ่งหุ้นในกลุ่ม PTT ทั้งในส่วนของ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH เป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ คิดรวมเป็น 30% ของมาร์เก็ตแคปรวมในตลาดฯ โดยขณะนี้หลายฝ่ายอยู่ระหว่างจับตามองผลประกอบการของ PTT โดยเฉพาะไตรมาส 2/2553 ที่คาดว่าอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ แม้ล่าสุดธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จาก PTTEP ประกาศกำไรสุทธิ Q2/53 เท่ากับ 10,616 ล้านบาทจากการเติบโตทั้งปริมาณและราคาขาย ขณะที่ธุรกิจถ่านหิน คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจากปริมาณการจำหน่ายที่สูงขึ้น แต่สาเหตุหลักที่ผลประกอบการของ PTT ลดลง มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ที่คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างมาก เช่นเดียวกับธุรกิจจำหน่ายน้ำมันและการค้าระหว่างประเทศ
ส่วนฟากของส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม ได้แก่ ธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี คาดว่าส่วนแบ่งกำไรในลดลงทิศทางเดียวกัน ตามแนวโน้มของธุรกิจโรงกลั่นที่มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและการตั้งสำรองค่าเผื่อการลดลงของมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมถึงการชะลอตัวของส่วนต่างราคาปิโตรเคมีกับวัตถุดิบทั้งในสายอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์
ปิดการซื้อขายวานนี้ (4 สิงหาคม 2553) ราคาหุ้น PTT อยู่ที่ 259 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 0.39% มูลค่าการซื้อขาย 1,500.12 ล้านบาท, ราคาหุ้น IRPC อยู่ที่ 3.92 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 0.51% มูลค่าการซื้อขาย 90.32 ล้านบาท, ราคาหุ้น TOP อยู่ที่ 45.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.11% มูลค่าการซื้อขาย 235.08 ล้านบาท, ราคาหุ้น PTTEP อยู่ที่ 153 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,643.60 ล้านบาท และราคาหุ้น PTTCH อยู่ที่ 101 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 1.25% มูลค่าการซื้อขาย 300.47 ล้านบาท
บิ๊ก PTT ยอมรับกำไร Q2/53 ลดลงจาก Q1/53
เหตุธุรกิจโรงกลั่น - ปิโตรฯ ขาลง แต่มั่นใจทั้งปีกำไรดีกว่าปีก่อน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทฯยอมรับว่าแนวโน้มกำไรในไตรมาส 2/2553 ของบริษัทฯจะลดลงจากไตรมาส 1/2553 เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง แต่ยังคาดว่าแนวโน้มกำไรในปีนี้จะมากกว่าปีก่อน พร้อมทั้งคาดว่าแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะมีผลประกอบการไม่ต่างจากไตรมาส 2
"กำไร Q2 คงลดลงจาก Q1 เพราะธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีไม่ค่อยดี โดยไตรมาส 1 น่าจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปีนี้ ส่วนกำไรไตรมาส 3 และ 4 คงไม่ต่างจากไตรมาส 2 แต่กำไรรวมน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว" นายประเสริฐ กล่าว
กรุงศรีอยุธยา ชี้ผลงาน Q2/53 ของ PTT ต่ำสุดของปี ปรับเป้ากำไรปี 53 ลง 12.2% และปรับกำไรปี 54 ลง 17.8%
บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ธุรกิจก๊าซธรรมชาติชะลอตัวตามราคาขายลดลง และแรงกดดันจากผลประกอบการของบริษัทร่วม ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิ Q2/53 จะหดตัวทั้ง QoQ และ YoY โดยปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 53 และ 54 สะท้อนผลกระทบดังกล่าว รวมถึงมูลค่าพื้นฐานจาก 317 บาท เหลือ 300 บาท แต่คงคำแนะนำ ซื้อ โดยประเมินว่าผลประกอบน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีแล้ว ประกอบกับกำไรสุทธิปี 53 และ 54 ยังเติบโตในอัตราสูง อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/E ratio เพียง 10.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 12.4 เท่า
ทั้งนี้ คาดกำไร Q2/53 เป็นจุดต่ำสุดของปี โดยคาดกำไรสุทธิ 2Q53 ลดลง 37.4%QoQ และ 27.6%YoY เท่ากับ 14,413 ล้านบาท นอกจากเป็นผลของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงมากจาก 3,752 ล้านบาท ใน Q1/53 มาเหลือ 334 ล้านบาท ใน Q2/53 แล้ว ยังมีสาเหตุมาจากการชะลอตัวของผลประกอบการโดยรวม ทั้งธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจน้ำมันและการค้าระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53 ลง 12.2% เหลือ 70,676 ล้านบาท พร้อมทั้งปี 54 ลง 17.8% เหลือ 88,948 ล้านบาท สะท้อนการปรับลดประมาณการผลประกอบการของบริษัทร่วมในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีก่อนหน้านี้ ได้แก่ TOP PTTAR BCP และ PTTCH ในทางกลับกันปรับสมมติฐานปริมาณขายก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 11% เป็น 4,030 ล้านล้านบาทฟุต/วัน สะท้อนปริมาณขายก๊าซที่อยู่ในระดับสูงตั้งแต่ Q1/53 เป็นต้นมา
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 2553 คาดว่ากำไรสุทธิจะยังมีแนวโน้มทรงตัวใน Q3/53 จากแรงกดดันของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ชะลอตัวจากการชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้าขั้นปลายน้ำตั้งแต่ปลาย Q2/53 เป็นต้นมา ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้ราคาขายก๊าซธรรมชาติของบริษัทลดลง อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรสุทธิจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนใน Q4/53 ตามการขยายตัวของธุรกิจโรงกลั่นที่ได้อานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่นตามผลของฤดูกาล และธุรกิจปิโตรเคมีที่เราคาดว่าลูกค้าขั้นปลายน้ำจะเริ่มทยอยสะสมสินค้าอีกครั้งเพื่อรองรับการผลิตในช่วงต้นปี
อย่างไรก็ดี คงคำแนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐานใหม่ 300 บาท โดยปรับลดมูลค่าพื้นฐานลง 5.4% เป็น 300 บาท สะท้อนการปรับลดมูลค่าพื้นฐานของบริษัทร่วมก่อนหน้านี้ ผลประกอบการปี 53 และ 54 หลังจากปรับประมาณการยังมีการเติบโตในระดับสูงที่ 18.7%YoY และ 25.8%YoY อีกทั้งคาดว่าผลประกอบการน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน Q2/53
ดีบีเอสฯ เผย Q2/53 กำไรร่วงเหลือ 17.2 พันลบ. แม้ปริมาณขายก๊าซเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์
บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดการณ์กำไรสุทธิ Q2/53 ของ PTT จะลดลง 25%QoQ และ 14%YoY เป็น 17.2 พันล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจโรงกลั่น, ปิโตรเคมี และก๊าซแย่ลงเมื่อเทียบ QoQ ยกเว้นในส่วนของ PTTEP ที่ดีขึ้น แม้ว่าปริมาณการขายก๊าซเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทในไตรมาสนี้ที่ 4,055mmscfd จาก 3,801mmscfd ใน Q1/53 แต่กำไรสุทธิของกลุ่มได้รับผลกระทบจากรายการพิเศษ คือ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำการตลาดประมาณ 2-3 พันล้านบาท แต่บริษัทยังไม่ให้รายละเอียดเพราะงบการเงินอยู่ระหว่างการตรวจสอบบัญชี (Audited)
ทั้งนี้ ยังกังวลกับนโยบายกำหนดราคาขายปลีก NGV และ LPG ของรัฐบาลที่ไม่แน่นอน ปริมาณการใช้ก๊าซ NGV และ LPG สูงขึ้น แต่รัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องเพดานราคาขายปลีก ซึ่งส่วนนี้กระทบกับราคาหุ้นของ PTT เราเชื่อว่าประเด็นนี้จะเป็น Overhang กับ PTT ต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวด้านการเมืองและไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และยังไม่เล็งเห็นปัจจัยที่จะเป็น Catalyst และทำให้ราคาหุ้น PTT ปรับขึ้น Outperform ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็นถือ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 53-54 ลง 19% และ 12% ตามลำดับ และลดราคาตามพื้นฐานเป็น 262 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับ P/E ปี 54 ที่ 10 เท่า ซึ่งเท่ากับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ณ ปัจจุบันราคาหุ้น PTT ซื้อขายต่ำกว่า Market NAV 20%, สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี 25% สำหรับปัจจัยหนุนหลักที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นแรง คือ การทะยานขึ้นของราคาน้ำมันดิบ (เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 50 และต้นปี 51) ในกลุ่มก๊าซและน้ำมันชอบ PTTEP เนื่องจากปริมาณขายปี 53 เติบโตสูง, ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้กำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตก้าวกระโดดจึงแนะนำให้ Swith จาก PTT ไปยัง PTTEP
กิมเอ็งฯ ชี้กำไร PTT Q2/53 วูบ 25% จากไตรมาสก่อนหน้า หั่นราคาเป้าหมายจาก 319 บ. เป็น 300 บ.
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดการณ์บริษัทฯ จะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/53 ออกมามีกำไรสุทธิ 17,296 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 6.10 บาท ลลดง 25% qoq และ 13% yoy แม้ว่าผลการดำเนินงานของ PTTEP จะมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามราคาจำหน่าย และปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ส่วนแบ่งผลกำไรของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีกลับชะลอตัวลงตามการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นและราคาปิโตรเคมี
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นผลประกอบการไตรมาส 3/53 จะทรงตัวเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีกำไร 16,987 ล้านบาท แม้ธุรกิจก๊าซคาดว่าจะมีผลกำไรเติบโตตามความต้องการใช้ก๊าซที่จะเติบโต 10% yoy ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น, ผลกำไรของ PTTEP ที่จะเติบโตต่อเนื่องจากปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมและราคาจำหน่ายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น แต่ส่วนแบ่งผลกำไรของธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ก็คาดว่าจะชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนตาม spread margin ที่ยังอ่อนตัวลงตามการปรับลดลงแรงของราคาปิโตรเคมีในไตรมาสนี้
สำหรับความคืบหน้าของโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2554 ทำให้ในปีนี้จะยังไม่มีส่วนแบ่งผลกำไรจากโรงแยกก๊าซ 6 แต่สำหรับส่วนขยายกำลังการผลิตของโรงแยกก๊าซ 2 และ 3 (เพิ่มปริมาณการจำหน่ายก๊าซ 760,000 ตัน หรือ 18.5% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน) แม้ผลกำไรครึ่งปีแรกคิดเป็น 54% ของประมาณการผลกำไรในปีนี้ที่ 74,099 ล้านบาทหรือ 26.07 บาท เติบโต 24% yoy แต่ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังที่อาจชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรก ทำให้ยังไม่ปรับประมาณการ
อย่างไรก็ตาม ปรับราคาที่เหมาะสมตามวิธี sum-of-the-part ลดลงจาก 319 บาท เหลือ 300 บาท จากการปรับราคาเป้าหมายของ TOP, PTTAR, PTTCH และ IRPC ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside อยู่ 16% จากราคาที่เหมาะสมใหม่ของเรา ที่ 300 บาทยังแนะนำ ซื้อ
โกลเบล็ก ชี้ Q2/53 PTT กำไรหด 27% แต่ทั้งปีปั๊มกำไรแตะ 70,808 ลบ. เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน แนะซื้อ เชื่อแจกปันผลระหว่างกาล 5 บ./หุ้น
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ระบุว่าคาดกำไรสุทธิ Q2/53 ประมาณ 16,768 ล้านบาท ลดลง 27%qoqและ16%yoy โดยกำไรสุทธิที่ลดลงเป็นไปตามการชะลอตัวของทุกธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรฯ ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรสุทธิลดลงอย่างมากตามค่าการกลั่นและส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรฯที่ชะลอตัว อีกทั้งไตรมาสนี้คาดว่า PTT จะไม่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมากเหมือน Q1/53 และ Q2/52 ที่มี Fx Gain จำนวน 3,752 ล้านบาทและ 2,840 ล้านบาทตามลำดับ
ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังนี้ คาดว่า PTT จะมีกำไรสุทธิอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก โดยธุรกิจก๊าซของ PTT และ PTTEP คาดว่าน่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้งตามปริมาณและราคาขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรฯ โดยรวม คาดว่าจะยังคงผันผวน เนื่องจากยังถูกกดดันจาก Supply ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นในส่วนของประมาณการทั้งปีจึงคงประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ไว้ตามเดิม โดยคาดกำไรสุทธิในปีนี้ประมาณ 70,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%yoy
ส่วนเงินปันผลคาดว่า PTT จะจ่ายปันผลระหว่างกาลประมาณ 5 บาทต่อหุ้นคิดเป็น Dividend yield ประมาณ 1.9% เราจึงแนะนำซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายในปี 53 ที่ 300 บาท
อย่างไรก็ตาม ประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ตามเดิมที่ 70,808 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 19%yoy โดยแม้จะคาดกำไรสุทธิใน Q2/53 ออกมาชะลอตัวแต่เมื่อรวมครึ่งปีแรก คาดว่า PTT จะมีกำไรสุทธิรวมประมาณ 39,788 ล้านบาท คิดเป็น 56% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี ส่วนแนวโน้มครึ่งหลังปีนี้ แม้ธุรกิจปิโตรฯ และโรงกลั่นจะยังผันผวน แต่ยังมีธุรกิจก๊าซของ PTT และ PTTEP ช่วยหนุนจึงทำให้แนวโน้มกำไรในครึ่งปีหลังนี้น่าจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก
ดังนั้น จึงคงประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ไว้ตามเดิม โดยคาดกำไรสุทธิในปีนี้ประมาณ 70,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%yoy (EPS 25 บาท/หุ้น)
เกียรตินาคิน คาดธุรกิจก๊าซฯ ดันผลงาน PTT ในโค้ง 3 ฟื้น จับตาโรงแยกก๊าซดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ Q4/53 หนุนกำไรเป็นขาขึ้น
บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการจากการดำเนินงานปกติ Q3/53 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจาก Q2/53 โดยกลุ่มธุรกิจก๊าซฯ ยังได้ประโยชน์จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทั้งปริมาณก๊าซฯ ผ่านท่อ และยอดขายก๊าซผ่านโรงแยกก๊าซฯ ซึ่งที่ผ่านมา Q3 ของทุกปียอดขายยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ด้านธุรกิจน้ำมัน ยังได้ประโยชน์จากราคาที่เพิ่มขึ้น
ด้านส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนคาดว่าจะดีกว่า Q2/53 ที่ผ่านมา โดยกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นคาดว่าจะมีผลประกอบการที่ฟื้นตัว เนื่องจากปัจจุบันค่าการกลั่นเริ่มมีการฟื้นตัว จากความต้องการใช้ในภูมิภาค รวมทั้งความกังวลที่มีต่อ Hurricane season ขณะที่การฟื้นตัวของราคาขายจะทำให้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นมี Stock Gain อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีคาดจะยังได้รับแรงกดดันจากส่วนต่างราคาที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ยังทำให้เรามองว่ากลุ่มธุรกิจปิโตรเคมียังไม่มีปัจจัยบวกสนับสนุนผลประกอบการ
ทั้งนี้ การเริ่มดำเนินการโรงแยกก๊าซฯ 6 จะเป็นปัจจัยหนุนให้กำไรกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยประเด็นมาบตาพุดยังคงต้องติดตาม การความคืบหน้าเกี่ยวกับการประกาศรายชื่อโครงการที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนรุนแรง หลังจากก่อนหน้านี้ นายกฯ ให้กลับไปทบทวนเพิ่มเติมภายในระยะเวลา 2 เดือน (ตั้งแต่สิ้นเดือนมิ.ย.53) ทั้งนี้ PTT ยังคงแนวทางการดำเนินการคู่ขนานทั้งในส่วนของการทำ HIA และ EIA ไปด้วย ซึ่งจากความคืบหน้าในการจัดตั้งองค์กรอิสระซึ่งแล้วเสร็จแล้ว PTT เชื่อว่าการดำเนินการตามกระบวนการให้เป็นไปตามมาตรา 67(2) (จัดทำ EIA, HIA) จะทำให้เริ่มดำเนินการโรงแยกก๊าซ 6 ตามแนวทางนี้ได้อย่างช้าใน Q1/54
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่ากรณีดังกล่าวจะเป็นกรณีล่าช้าที่สุด โดยกรณีที่อาจทำให้โรงแยกก๊าซดำเนินการได้เร็วขึ้นจะมาจากการประกาศรายชื่อโครงการที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนรุนแรง (บนสมมติฐานว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง 18 ประเภทโครงการที่ประกาศออกมาก่อนหน้า ซึ่งโรงแยกก๊าซไม่ถุกจัดอยู่ในโครงการฯ รุนแรง) ซึ่งหากออกมาภายในเดือนส.ค.-ก.ย.53 รวมการเข้าสู่กระบวนการยื่นขอต่อศาลฯ เพื่อขอเริ่มดำเนินการผลิต คาดจะทำให้โรงแยกก๊าซ 6 เริ่มทำการ Test Run และดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ใน Q4/53 ทั้งนี้ จะเป็นปัจจัยหนุนต่อกำไรใน Q4/53 และปี 2554 ให้กลับมาฟื้นตัวเป็นขาขึ้น ดังนั้น ยังคงแนะนำซื้อลงทุน ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม 318 บาท
ทรีนีตี้ เชียร์ซื้อ PTT เป้าหมาย 365 บ. หวัง Q3/53 ราคาน้ำมันพุ่ง หนุนธุรกิจผลิตและขายน้ำมัน ก๊าซ และโรงกลั่นได้เฮ
บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/53 ที่ 17,884 ล้านบาทลดลง แต่มีความหวังไตรมาส 3/53 ราคาน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้นดึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันและก๊าซ รวมถึงโรงกลั่นให้ดีขึ้น แต่ยังน่าวิตกกับปิโตรเคมีที่ไม่มั่นใจว่าจะถึงจุดต่ำสุดเมื่อไหร่ นอกจากนี้ รอลุ้นมาบตาพุดคลี่คลายเร็วๆนี้ แนะนำซื้อ
โดยคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 2/53 เท่ากับ 17,884 ล้านบาท โดยลดลง 22% QoQจากต้นทุนผลิตก๊าซที่เพิ่มมากขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ในขณะที่ราคาขายปรับตัวลดลงจากราคาผลิตภัณฑ์อ้างอิงที่ปรับตัวลดลงแรง ทำให้เราคาด PTT จะมีกำไรจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 7,986 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณจำหน่ายก๊าซเพิ่มเป็น 4.055 ล้านล้านบาทฟุตต่อวัน เพิ่มขึ้น 6.6% จากไตรมาสก่อนที่ 3.801 ล้านล้านบาทฟุตต่อวัน (ไตรมาส 2 เป็นพีคเพราะเป็นฤดูร้อนมีการใช้ไฟฟ้ามาก) มีกำไรจากการปันส่วนกำไรของบริษัทในเครือ(ไม่รวม PTTEP) ที่ 2,735 ล้านบาท มีกำไรจาก PTTEP (รวมใน Conso) อีก 6,913 ล้านบาท และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 334 ล้านบาท ในส่วนนี้รวมกำไรสต๊อกน้ำมันประมาณ 738 ล้านบาท และผลขาดทุนจากการขาย NGV รวมอยู่ในนี้อีก 1,600 ล้านบาท โดย PTT ได้รับการชดเชยในส่วนของ NGV มากขึ้นจากกองทุนน้ำมัน
โรงแยกก๊าซ 6 ของ PTT ตอนนี้ Construction Work เสร็จหมดแล้วแต่ยังไม่สามารถทำ Commissioning และ Test-run โดยขณะนี้มีอยู่สองคือ
1.รอรัฐบาลประกาศประเภทโครงการที่มีผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพซึ่งคาดว่าน่าจะออกมาประมาณ ก.ย.53 หรือเร็วกว่านั้น แล้วจึงนำประกาศไปยื่นศาลเพื่อปลดออกจากโครงการที่สั่งให้หยุดชั่วคราว
2.จัดทำ HIA แล้วนำส่งองค์การอิสระเพื่อให้ความเห็นโดยทั้ง 2 วิธีเราคาดว่าโรงแยกก๊าซจะสามารถเริ่มผลิตได้อย่างเร็วในไตรมาส 1/54
ปริมาณจำหน่ายก๊าซจากโรงแยกก๊าซดีขึ้นเล็กน้อย โดยปริมาณการจำหน่ายในไตรมาส 2/53 นี้ อยู่ที่ 962,945 ตัน เทียบกับไตรมาส 1/53 ที่ 960,913ตัน โดยปริมาณจำหน่ายจากโรงแยกก๊าซมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 3/53 จากการขยายกำลังการผลิตโรงแยกก๊าซ 2 และ 3 ที่เริ่มเดินเครื่องได้แล้วในเดือน มิ.ย. 53
อย่างไรก็ตาม ประเมินมูลค่าเหมาะสม 365 บาท: จากวิธี Sum of the part valuation โดยคาดว่าธุรกิจของ PTT (ไม่รวม PTTEP) มีมูลค่าประมาณ 166 บาท และมูลค่ากิจการของบริษัทในเครือ (รวม PTTEP) อยู่ที่ 199 บาท รวมแล้วมูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 365 บาท
เคที ซีมิโก้ เผยราคาหุ้น PTT ยังถูก P/E 9.6 เท่า เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค P/E 11 เท่า
บทวิเคราะห์ บล.เคที ซีมิโก้ เปิดเผยว่า ยังคงคำแนะนำซื้อ PTT เนื่องจากราคาหุ้นถูกในเชิงประเมินมูลค่า ปัจจุบัน PTT ซื้อขายที่ PER เฉลี่ยปี 53 – 54 ที่ 9.6 เท่า เทียบกับ 11 เท่าของคู่แข่งในภูมิภาค แม้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในมาบตาพุดจะทำให้การเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ของโรงแยกก๊าซที่ 6 ต้องล่าช้าไป แต่การเติบโตของความต้องการใช้ก๊าซในประเทศที่แข็งแกร่งกว่าคาด ทำให้สมมติฐานการเติบโต 10% มีความเป็นไปได้มาก
อย่างไรก็ดี PTT ยังมีความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาและ สเปรดปิโตรเคมี โดยยังคงประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 306 บาท (sum-of-the-parts)
ทั้งนี้ คาดว่า PTT จะมีกำไรสุทธิ 1.68 หมื่นล้านบาท (6.0 บาท/หุ้น) ใน Q2/53 ลดลง 27%QoQ และ 16%YoY และทำให้มีกำไรรวม 3.98 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้น46%YoY คิดเป็น 55% ของประมาณการกำไรทั้งปี แม้ความต้องการใช้ก๊าซในประเทศจะเพิ่มขึ้นถึง 6.7%QoQ และ 12.5%YoY เป็น 4,055 ล้านล้านบาทฟุต/วัน ใน Q2/53 แต่อัตรากำไรที่ลดลงของโรงแยกก๊าซ และส่วนแบ่งกำไรที่แย่ลงของธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่น กลับฉุดรั้งความสามารถในการทำกำไรรวมของบริษัท
โดยคาดว่าผลการดำเนินงานของ PTT จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยใน Q3/53 เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจากธุรกิจผลิตและสำรวจ และโรงกลั่น ซึ่งเป็นผลจากการดีดตัวของราคาน้ำมัน และค่าการกลั่น ดังนั้น จึงยังคงประมาณการกำไรทั้งปี 53 ของ PTT ไว้ที่ 7.24 หมื่นล้านบาท
บล.เคจีไอ ยังแนะซื้อ PTT คาดโรงแยกก๊าซ 6 เริ่มผลิตได้ต้นปี 54 ให้เป้าหมาย 310 บ.
บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า โรงผลิตอีเทนเริ่มดำเนินงานแล้วในเดือน มิ.ย. ในขณะที่โรงแยกก๊าซ 6 คาดจะเริ่มได้ในตอนต้นปี 2554 โดยโรงผลิตอีเทนของ PTT (ปรับปรุงส่วนขยายจากโรงแยกก๊าซ 2 และ 3 กำลังการผลิต 7.63 แสนตัน) เริ่มดำเนินการผลิตแล้วในเดือน มิ.ย. และบริษัทฯ คาดว่าโรงงานดังกล่าวจะเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตได้เต็มกำลัง หลังเปลี่ยน nozzles ในโรงไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งจะเสร็จในเดือน ส.ค. ในขณะที่โรงแยกก๊าซ 6 รอการอนุมัติให้เปิดดำเนินการได้ โดยปัจจุบัน PTT คาดว่ามีทางออกอยู่ 2 ทาง ได้แก่
1) คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศรายชื่อโครงการที่ส่งผลกระทบรุนแรง โดยโรงแยกก๊าซคาดว่าจะไม่ถูกกำหนดให้เข้าข่ายดังกล่าว หรือ
2) ได้รับ HIA แต่ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ตาม PTT ยังเชื่อว่าโรงแยกก๊าซ 6 จะได้รับอนุญาตให้เริ่มเปิดดำเนินงานได้ในตอนต้นปี 2554 เป็นอย่างช้า
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์เกี่ยวกับผลประกอบการที่มีโอกาสอ่อนตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อเทียบกับประมาณการในช่วงครึ่งปีแรกที่ 40.0 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 53.6% ของประมาณการตลอดปีของเราที่ 74.6 พันล้านบาท เราจึงคงประมาณการของเราไว้ตามเดิม และแนะนำซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 310 บาทCreate Date : 05 สิงหาคม 2553 Last Update : 5 สิงหาคม 2553 6:32:57 น. 7 comments Counter : 1544 Pageviews.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น